วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

ความจริงของชีวิต


ความจริงของชีวิต







“ชีวิตในมิติแห่งกรรม”






โดย

พระราชกวี

(เกษม  สญฺญโต)







ความจริงของชีวิต
(หลักกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด)

เรื่องสำคัญยิ่งใหญ่อีกเรื่องหนึ่งในพระพุทธศาสนาคือเรื่องหลักกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า The Law of Karma and Rebirth
ความเข้าใจเรื่องกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดจะช่วยแก้ปัญหาชีวิตได้ทุกแง่ทุกมุม ทำให้ไม่ต้องน้อยใจในชะตาชีวิตของตนและไม่ริษยาความสุขของผู้อื่น เพราะได้เห็นแจ้งแล้วว่า ความสุขทุกข์ รุ่งเรือง หรือล้มเหลวในชีวิตของแต่ละคนนี้เป็นผลรวมแห่งกรรมของตน หรือกรรมแห่งหมู่คณะของตนเป็นต้น
เรื่องกรรม ช่วยแก้ปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียมกันของมนุษย์ความแตกต่างกันในเรื่องอุปนิสัยใจคอของคน แม้อยู่ในสิ่งแวดล้อมอย่างเดียวกันและมีมารดาบิดาเดียวกัน ได้รับการอบรมอย่างเดียวกัน  
ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเรื่องกรรม ทำให้บุคคลมีน้ำอดน้ำทน มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ท้อถอย มีความเพียรสั่งสมกรรมดีขยาดต่อกรรมชั่ว ไม่ตีโพยตีพายเมื่อผิดหวัง และไม่ระเริงหลงในเมื่อประสบผลดี เราะมารู้แจ้งว่าผลทุกอย่างย่อมมีมาเพราะเหตุ
เรื่องกรรมช่วยให้บุคคลกล้าเผชิญชีวิตอย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยว สามารถมองเห็นแง่ดีแม้ของความผิดหวัง หรือส่งที่เรียกกันว่าโชคร้าย เพราะแจ่มแจ้งว่า มันเป็นการใช้หนี้กรรมอย่างหนึ่ง ทำให้เรือชีวิตเบาขึ้น ทำให้แล่นไปข้างหน้าได้รวดเร็วขึ้น เหมือนบุคคลมีหนี้สิน เมื่อได้ใช้หนี้ไปเสียบ้าง ย่อมทำให้สบายใจขึ้น เบาใจขึ้น
หลักกรรมจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่มีการเกิดใหม่หรือการเวียนว่ายตายเกิด เพราะมีปัญหาชีวิตหลายอย่างที่ไม่อาจเข้าใจได้ ถ้าปราศจากการเวียนว่ายตายเกิดหรือที่เรียกว่า สังสารวัฏเช่นปัญหาเรื่องคนดีบางคนมีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมาน และคนชั่วบางคนมีชีวิตอยู่อย่างสุขสำราญเป็นต้น ปัญหานี้จะเป็นเรื่องค้างโลกถ้ากฎแห่งกรรมและการเกิดใหม่ไม่เข้ามาช่วยแก้
อนึ่ง ช่วงชีวิตเพียงช่วงเดียวของบุคคลสั้นเกินไปไม่เพียงพอพิสูจน์กรรมที่บุคคลทำไว้แล้วได้ทั้งหมด การเกิดใหม่จะช่วยอธิบายกรรมในอดีตของคนได้อย่างดีที่สุด ดังนั้นชีวิตมนุษย์จึงเป็นสนามหรือเวทีสำหรับทดลองแรงกรรม ว่าใครได้ทำกรรมอะไรไว้มา น้อย เบาบาง หรือรุนแรงเพียงใด
                ด้วยประการฉะนี้ การศึกษาให้รู้แจ้งในเรื่องกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดจึงเป็นกุญแจดอกสำคัญไปสู่การดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง มีผลเป็นความสุข สงบแก่ผู้ศึกษาเรียนรู้ มีประโยชน์ในการพัฒนาชีวิตจิตใจให้สูงขึ้นร่มเย็นและทำให้เห็นว่าการเกิดของเรามีความหมาย ไม่ใช่เกิดมาโดยบังเอิญ มีชีวิตอยู่อย่างหลักลอยปล่อยตัวและตายไปอย่างน่าสมเพชเวทนา
                เรื่องกรรม และการเวียนว่ายตายเกิดทำให้บุคคลหายงมงายหายตื่นเต้นต่อความขึ้นลงของชีวิต ช่วยคลี่คลายความข้องใจในความสับสนของชีวิต เป็นเรื่องที่พุทธศาสนิกผู้นับถือพระพุทธศาสนา ควรเรียนรู้และทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้งเพื่อชีวิต เป็นเรื่องที่พุทธศาสนิกผู้นับถือพระพุทธศาสนา ความเรียนรู้และทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้งเพื่อชีวิตของตนเองจะได้ดีขึ้นและทำผู้ใกล้ชิด เช่น บุตรหลาน หรือบริวารชนให้มีความเข้าใจในปัญหาชีวิตของตน
                ครู ผู้สอนวิชาศาสนาหรือวิชาอื่นใดก็ตามควรย้ำให้นักเรียนเข้าใจและเชื่อมั่นในเรื่องหลักกรรมและสังสารวัฎเพราะอันนี้คือพื้นฐานอันจะทำให้ศีลธรรมมั่นคงในจิตใจของเยาวชนเหล่านั้น
                ต่อไปนี้เป็นพระราชปรารภในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7 แห่งบรมจักรีวงศ์)
สำหรับพระพุทธศาสนานั้น ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าสิ่งที่เราควรจะสอนให้เข้าใจแลบะให้เชื่อมั่นเสียตั้งแต่ต้นทีเดียวคือสิ่งที่เป็นหลักสำคัญของพระพุทธศาสนา นั่นคือ วัฏฏสงสาร การเวียนว่ายตายเกิดและกรรม ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เป็นหลักสำคัญของพระพุทธศาสนาเพราะหนทางปฏิบัติของพุทธศาสนาก็เพื่อให้พ้นจากวัฏฏสงสาร อันเป็นความทุกข์แต่สิ่งที่ดีประเสริฐยิ่งนั้นคือความเชื่อในกรรม แต่จะสอนแต่เรื่องกรรมอย่างเดียว ไม่สอนเรื่องวัฏฏสงสารด้วยก็ไม่สมบูรณ์
                ความเชื่อในกรรม ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นของประเสริฐยิ่งควรเพาะให้มีขึ้นในใจของคนทุกคน และถ้าคนทั้งโลกเชื่อมั่นในกรรมแล้ว มนุษย์ในโลกจะได้รับความสุขใจขึ้นมาก เป็นสิ่งที่ทำให้คนขวนขวายทำแต่กรรมดีโดยหวังผลที่ดี เรื่องวัฏฏสงสารและกรรมนี้เป็นของต้องมีความเชื่อ เพราะเป็นของที่น่าเชื่อกว่าความเชื่ออีกหลายอย่าง
                ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า ถ้าคนเราเชื่อกรรมจริง ๆ แล้ว ควรจะได้ความสุขใจไม่น้อย โดยที่ไม่ทำให้รู้สึกท้อถอยอย่างไร
                ข้าพเจ้าเห็นว่า เราควรพยายามสอนเด็กให้เชื่อมั่นในกรรมเสียแต่ต้นทีเดียว ยิ่งให้เชื่อได้มากท่าไรยิ่งดี ควรให้ฝังเป็นนิสัยทีเดียว

กฎแห่งกรรม
                หลักกรรมหรือกฎแห่งกรรมมีอยู่ว่า บุคคลทำกรรมใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เขาย่อมต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้นแต่เนื่องจากกรรมบางอย่างหรือการกระทำบางคราวไม่มีผลปรากฏชัดในทันที ผู้มีปัญญาน้อยจึงมองไม่เห็นผลแห่งกรรมของตน ทำให้สับสนและเข้าใจไขว้เขว เพราะบางทีกำลังทำชั่วอยู่แท้ ๆ มีผลดีมากมาย เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หลั่งไหลเข้ามาในชีวิต ตรงกันข้ามบางคราวกำบังทำความดีอยู่อย่างมโหฬาร แต่กลับได้รับความทุกข์ทรมานต่าง ๆ มีผลไม่ดีมากมาย เช่น ความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทาว่าร้ายถูกสบประมาท และความเจ็บไข้ได้ป่วยหลั่งไหลเข้ามาในชีวิต
                ความสลับซับซ้อนดังกล่าว ทำให้ผู้รับผลของกรรมสับสน เกิดความไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตนทำนั้นเป็นความชั่วจริง ๆ หรือ ?
                ตามความเป็นจริงแล้ว กรรมชั่วที่เขากำลังทำอยู่ยังไม่ทันให้ผล กรรมดีที่เขาเคยทำไว้ก่อนถึงวาระให้ผลในขณะที่คนผู้นั้นกำลังทำชั่วอยู่ จึงทำให้เขาได้รับผลดีถ้าเปรียบทางวัตถุก็จะมองเห็นง่ายขึ้น เช่นคน ๆ หนึ่งกำลังปลูกต้นไม้อันเป็นพิษอยู่ มีผลไม้หอมหวานอร่อยสุกมากมายในสวนของเขา  เขาได้ลิ้มรสอันอร่อยของผลไม้ซึ่งเขาปลูกไว้ก่อน ต่อมาต้นไม้มีพิษออกผลในขณะที่เขากำลังปลูกต้นไม้ที่มีผลอร่อยอยู่ เขาบริโภคผลไม้มีพิษ รู้สึกได้รับทุกเวทนาข้อนี้ฉันใด กรรมกับผู้กระทำกรรมก็ฉันนั้น กรรมดีย่อมให้ผลดี กรรมชั่วย่อมให้ผลชั่ว แต่เพราะกรรมจะให้ผลก็ต่อเมื่อสุกเต็มที่แล้ว (Maturation) และมีความสลับซับซ้อนมาก จึงทำให้งง ทั้งนี้ สามเหตุหนึ่งก็เพราะสติปัญญาของคนทั่วไปมีอยู่อย่างจำกัดมาก เหมือนแสงสว่างน้อย ๆ ไม่พอที่ส่องให้เห็นวัตถุอันสลับซับซ้อนอยู่มากมายในบริเวณอันกว้างใหญ่และบริเวณนั้นถูกปกคลุมอยู่ด้วยความมืด เมื่อใดดวงปัญญาของเขาแจ่มใสขึ้น เขาย่อมมองเห็นตามเป็นจริง ปัญญาของเขายิ่งแจ่มใสขึ้นเพียงใดเขาย่อมสามารถมองเห็นเรื่องกรรมและความสบับซับซ้อนของชีวิตมากขึ้นเพียงนั้น เหมือนแสงสว่างมีมากขึ้นเพียงใด ผู้มีจักษุปกติย่อมสามารถมองเห็นวัตถุอันละเอียดมากขึ้นเพียงนั้น
                สิ่งใดที่ละเอียดมาก เช่น จุลินทรีย์ มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นนักวิทยาศาสตร์เขาใช้เครื่องมือคือกล้องจุลทรรศน์ซึ่งมีอานุภาพขยายเป็นพัน ๆ เท่าของวัตถุจริง จึงทำให้มองเห็นได้ สิ่งใดอยู่ไกลมากระยะสายตาธรรมดาไม่อาจทอดไปถึงได้นักวิทยาศาสตร์เขาใช้กล้องส่องทางไกล จึงสามารถมองเห็นได้เหมือนวัตถุซึ่งปรากฏอยู่ ณ ที่ใกล้ข้อนี้ฉันใด
                ผู้ได้อบรมจิตและปัญญาแล้วก็ฉันนั้น เป็นนักวิทยาศาสตร์ทางจิต สามารถเห็นได้ละเอียดรู้ได้ไกลซึ่งเรื่องกรรมและผลของกรรม ชนิดที่สามัญชนมองไม่เห็นหรือมองให้เห็นได้โดยยาก ทั้งนี้ เพราะท่านมีเครื่องมือคือปัญญาหรือญาณสามัญชนไม่มีปัญญาหรือญาณเช่นนั้นจึงมองไม่เห็นอย่างที่ท่านเห็น เมื่อท่านบอกให้บากคนก็เชื่อตาม บางคนไม่เชื่อ ใครเชื่อก็เป็นประโยชน์แก่เขาเองทั่งด้านการดำเนินชีวิตและจิตใจ หาความสุขได้เอง
                ผู้เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ได้กำไรกว่าผู้ไม่เชื่อคือทำให้เว้นชั่ว ทำดีได้มั่นคง ยั่งยืนกว่าผู้ไม่เชื่อ ทำให้เป็นคนดีในโลกนี้ จากโลกนี้ไปแล้วก็ไปบีนเทิงในโลกหน้าเมื่อประสบปัญหาชีวิตอันแสบเผ็ดก็สามารถทำใจได้ว่า มันเป็นผลของกรรมชั่วเมื่อประสบความรื่นรมย์ในชีวิตก็ไม่ประมาท มองเห็นผลแห่งกรรมดีและหาทางพอกพูนกรรมดีต่อไป
                เรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
                เรื่องนี้เป็นความจริงอย่างยิ่ง แต่ที่คนส่วนมากยังลังเลหรือเข้าใจผิดไปบ้างก็เพราะความสลับซับซ้อนของกรรมและการให้ผลของมัน การได้ดีหรือได้ชั่วนั้น ถ้าเอาวัตถุภายนอกเป็นเครื่องตัดสินก็ลำบากหน่อย ต้องรอคอยบางทีขณะที่กำลังรอคอยอยู่นั้น ผลของกรรมอื่นแทรก แซงเข้ามาเสียก่อน ยิ่งทำให้ผู้ทำกรรมซึ่งกำลังรอคอยผลอยู่นั้นงงและไขว้เขวไปใหญ่
               
นี้เป็นผลแห่งกตัตตากรรม
                บุคคลผู้หนึ่งโยนก้อนหินลงไปทางหน้าต่าง บังเอิญก้อนหินนั้นไปถูกคนหนึ่งเข้า หัวแตกกรรมของเขาเป็นกตัตตากรรม เมื่อถึงคราวที่กรรมนี้จะให้ผล ย่อมให้ผลในทำนองเดียวกัน
                ในฝ่ายดี เช่น บุคคลผู้หนึ่งเอาของเหลือไปเททิ้งไม่ได้ตั้งใจจะให้ใคร แต่บังเอิญสุนัขมาอาศัยกินรอยชีวิตไปได้กรรมนั้นของเขาเป็นกตัตตากรรม เมื่อถึงคราวเขาจะได้รับผลแห่งกรรมนั้นย่อยได้รับในทำนองเดียวกัน
                จริงอยู่พระพุทธองค์ตรัสว่า เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ = ภิกษุทั้งหลายเรากล่าวเจตนาว่าเป็นว่าเป็นกรรมนั้นหมายเอากรรมอื่นทั้งปวง ยกเว้นกตัตตากรรม

กรรมอย่างเดียวทำหน้าที่หลายอย่าง
                บางทีกรรมอย่างเดียวนั้นเอง เรียกชื่อต่างออกไปตามหน้าที่ กาล และความหนักเบา ตัวอย่างเช่น การฆ่ามารดาบิดา จัดเป็นกรรมหนัก (ครุกรรม) เมื่อให้ผลในปัจจุบัน เช่นถูกฆ่าตอบหรือต้องถูกจองจำได้รับทุกข์ทรมานในชาติปัจจุบันพอเขาสิ้นชีพลงไปเสวยทุกข์ในนรก กรรมนั้นเป็นอุปัชชเวทนียกรรม กรรมนั้นเที่ยวติดตามให้ผลอยู่ภพแล้วภพเล่า กรรมนั้นเป็นอปราปรเวทนียกรรม เมื่อให้ผลจนเต็มที่แล้วสมควรแก่เหตุแล้วก็เลิกให้ผลหรือผู้ทำกรรมนั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์เสียก่อน สิ้นชาติสิ้นภพแล้วกรรมนั้นตามให้ผลไม่ได้อีก จึงกลายเป็นอโหสิกรรม เปรียบเหมือนบุคคลคนเดียวเรียกได้หลายอย่าง เช่น เป็นลูกของพ่อแม่ เป็นพ่อของลูก เป็นสามีภรรยา เป็นนายของลูกน้อง เป็นครูของศิษย์เป็นต้น
                กรรมที่บุคคลทำแล้วจะให้ผลครั้งเดียวพ้นไม่ก็หาไม่ ย่อมตามให้ผลครั้งแล้วครั้งเล่า ชาติแล้วชาติเล่าจนกว่าจะสิ้นแรงหมดไป เปรียบเหมือนต้นไม้ที่บุคคลปลูกไว้เพียงครั้งเดียวแต่ให้ผลเป็นร้อย ๆ ครั้งจนกว่าจะแก่ตายไป
                ส่วนอาสันนกรรม คือ กรรมที่บุคคลทำเมื่อจวนตายจะเป็นฝ่ายดีหรือฝ่ายชั่วก็ตาม ที่ว่าให้ผลก่อนนั้นเพราะมีช่วงใกล้ชิดกับการปฏิสนธิในภพใหม่ จึงให้ผลทันทีในขณะที่บุคคลเคลื่อนจากภพเก่าสู่ภพใหม่นั้นเอง แต่ให้ผลในระยะสั้นดังกล่าวแล้ว การตามให้ผลยั่งยืนเป็นหน้าที่ของอาจิณณกรรม คือ กรรมที่บุคคลทำเป็นประจำ
                สมมติว่าบุคคลผู้หนึ่งทำความดีด้วยกาย วาจา ใจ เป็นอันมาก หมั่นประกอบบุญกุศลตลอดชีวิต แต่ชีวิตปุถุชนย่อมเคยประกอบกรรมชั่วมาบ้างไม่มากก็น้อยถ้าในขณะใกล้ตายเขามิได้ระลึกถึงบุญกุศลของเขาเลย


การมองไม่เห็นกรรม
                กรรมดีหรือชั่วจะคอยติดตามบุคคลผู้ทำอยู่เสมอเหมือนเงาตามตัว แต่การที่คนมองไม่เห็นการตามของกรรมก็เพราะดำเนินชีวิตอยู่ในทางมืดเหมือนบุคคลไม่เห็นผู้ติดตามตนอยู่ในที่มืด พอเข้าสู่ที่สว่างถ้าเขาเหลียวไปมองย่อมเห็นได้ บุคคลที่ได้รับการอบรมจิตให้สงบ สะอาด และสว่างขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งมองเห็นกรรมและผลของกรรมละเอียดประณีตขึ้นเท่านั้น
                แต่กรรมจะให้ผลก็ต่อเมื่อสุกงอมเต็มที่แล้ว มันมีระยะฟักตัวตามสมควรบุคคลผู้มีปัญญาน้อยจึงเห็นได้ยาก อนึ่ง ชีวิตของมนุษย์สั้นเกินไป เพียงชีวิตเดียวไม่เพียงพอในการพิสูจน์กรรมให้ตลอดได้ การฟักตัวของกรรมก็เหมือนการมีครรภ์ของสตรี เมื่อครบกำหนดจึงคลอดหรือเหมือนการสุขของผลไม้ ย่อมต้องอาศัยเวลาตามสมควรการรอคอยของกรรอาจใช้เวลาเป็นร้อยปี พันปี หรือหมื่นปีก็ได้ แม้รอคอยนานถึงปานนั้นแบะมีความสลับซับซ้อนมากเพียงใด กรรมก็สามารถหาตัวผู้ทำได้ถูกต้องเสมอท่านเปรียบเสมือนลูกโค แม้จะรวมอยู่ในฝูงเป็นอันมากก็สามารถหาแม่ของมันพบ หรือเหมือนเด็กที่รู้เดียงสาแล้วย่อมจำแม่ของตนได้
                    ดังนั้น ผู้ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดีเป็นเครื่องตอบแทน ผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่วการที่บุคคลลังเลสงสัยในเรื่องนี้ ก็เพราะไปตัดสินเอาตามปรากฏการณ์บางอย่างภายนอกอันมีลักษณะเป็นมารยา หลอกลวง
                คนที่ทำความชั่วไว้มาก ความชั่วจะคอยรบกวนจิตใจของเขาให้กังวลอยู่เสมอ แม้จะปรากฏแก่คนอื่นให้ดูเหมือนว่ามีความสุข แต่ภายในใจของเขาเองใครจะเป็นคนรู้ว่ามีสุขทุกข์อันใดทับถมอยู่บ้าง
                คนที่ชอบบ่นว่าทำดีไม่ได้ดีนั้น อาจเป็นเพราะทำดีไม่ถูกต้องหรือทำดีไม่เป็นหรือมิฉะนั้นก็ใจร้อนเกินไป ตีโพยตีพายอยากได้ผลเร็ว ๆ ในขณะที่ความดียังไม่ทันให้ผล
                การทำดีเป็นหน้าที่ของบุคคลผู้รักดี ส่วนการให้ผลเป็นหน้าที่ของกรรมเหมือนการไถ หว่านเป็นหน้าที่ของชาวนาส่วนการออกรวงเป็นหน้าที่ของต้นข้าว มันย่อมออกรวงตามเวลาอันสมควรเมื่อยังไม่ถึงเวลาอันสมควรจะอ้อนวอนสักเท่าไรก็หาสมปรารถนาไม่ แต่พอถึงเวลาออกรวงใครจะอ้อนวอนให้ออกก็ไม่ได้ เรื่องการให้ผลของกรรมก็ทำนองเดียวกันนี้
                ผลของกรรมชั่วคอยติดตามบีบคั้น ส่วนผลของกรรมดีคอยติดตามประคับประคองช่วยเหลือผู้ท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏ การมองชีวิตต้องมองในระยะยาวและกว้างไกลจึงจะเห็นวิถีชีวิตโดยตลอด






การทำบุญละลายบาป
                มีปัญหาที่คนทั่วไปสนใจมากอยู่ข้อหนึ่ง คือ การทำบุญล้างบาปหรือทำบุญละลายบาปจะได้หรือไม่ ?
                การทำบุญละลายบาปนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ คือ ใช้ความดีละลายความชั่วให้เจือจาง เช่น ความชั่วเกิดขึ้นในใจเมื่อความดีเกิดขึ้นความชั่วย่อมถอยไป ถ้าความดีเกิดขึ้นบ่อย ๆ ไม่ให้โอกาสแก่ความชั่ว ความชั่วก็เกิดขึ้นไม่ได้เรียกว่า เอาความดีมาไล่ความชั่วหรือละลายความชั่ว
                อีกอย่างหนึ่งความชั่วที่บุคคลทำลงไปแล้วซึ่งจะต้องมีผลในโอกาสต่อไป ถ้าผู้นั้นเร่งทำความดีให้มากขึ้นจนท่วมท้นความชั่ว ผลของกรรมชั่วนั้นก็จะค่อย ๆ จางลงจนไม่มีอานุภาพในการทำอันตรายให้ทุกข์ เปรียบเหมือนกรด (เอชิด) ซึ่งมีคุณสมบัติทำลายชีวิตได้ แต่ถ้าเติมด่าง (อัลคอไลน์)    ลงไปเรื่อย ๆ  กรดนั้นก็เจือจางลงจนหมดคุณสมบัติในการทำลายให้โทษ
                เปรียบเทียบอีกอย่างหนึ่งเหมือนเกลือกับน้ำ สมมติว่าเอาเกลือกำมือหนึ่งใส่ลงไปในน้ำแก้วหนึ่ง น้ำนั้นจะเค็มมากเพราะน้ำน้อย แต่ถ้าเราเอาเกลือจำนวนนั้นใส่ลงไปในถึงน้ำใหญ่ ๆ ความเค็มจะไม่ปรากฏ แม้เกลือจะยังมีอยู่เท่าเดิม มันกลายเป็นเหมือนไม่มี ที่ทางพระท่านเรียก อัพโพหาริกแปลว่า มีเหมือนไม่มีเรียกไม่ได้ว่ามีหรือไม่มีเหมือนน้ำในก้อนดินแห้งหรือในเนื้อไม้ เรารู้ได้ว่ามีความชื้นอันเป็นคุณสมบัติของน้ำ เมื่อเราจุดไฟเผามีควันขึ้นมา
                เอน้ำเกลือในแก้วซึ่งเค็มมากนั้น เทลงไปในถังใหญ่ ๆ แล้วเติมน้ำบงไปเรื่อย ๆ โดยไม่เติมเกลือในที่สุดน้ำนั้นจะไม่ปรากฏความเค็มเลย เพราะจำนวนน้ำเหนือจำนวนเกลือมากนัก ข้อนี้ฉันใด การ  ทำความดีละลายความชั่วหรือละลายผลแห่งกรรมชั่วก็เป็นฉันนั้น ในที่นี้ความชั่วเปรียบเหมือนเกลือ ความดีเปรียบเหมือนน้ำ ในทางกลับกัน กรรมดีเล็กน้อยอาจถูกกรรมชั่วละลายได้เช่นกัน
                เกี่ยวกับเรื่องนี้ มีพระพุทธภาษิตอ้างอิงดังนี้
                ภิกษุ ทั้งหลายบุคคลบางคนทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อย บาปกรรมนั้นนำเขาไปสู่นรก บางคนทำเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นเหมือนกัน แต่บาปนี้ให้ผลเพียงในปัจจุบันชาตินี้เท่านั้น (ทิฏฺฐธมฺมเวทนยํ) ไม่ปรากฏผลอีกต่อไป
                บุคคลเช่นไร ทำบาปเพียงเล็กน้อยแล้วไปนรก?  คือบุคคลผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล มิได้อบรมจิต มิได้อบรมปัญญา มีคุณธรรมน้อย ใจต่ำ บุคคลเช่นนี้แหละ ทำบาปเพียงเล็กน้อยแล้วไปนรก
                บุคคลเช่นไร ทำบาปเพียงเล็กน้อย แต่บาปนั้นให้ผลอันแสบเผ็ดเพียงในชาติปัจจุบันแล้วไม่ให้ผลอีกต่อไป?  คือบุคคลผู้ได้อบรมกาย อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญาแล้ว มีคุณธรรมมาก มีใจใหญ่ อยู่ด้วยคุณมีเมตตาเป็นต้นอันหาประมาณมิได้
               
                 
ก่อนให้ผลบุญบาปอยู่ที่ใด ?
                อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ คือ บุญหรือบาปที่บุคคลทำแล้วเมื่อยังไม่ให้ผลมันไปอยู่ที่ใด ? ตอบว่า มันติดตามผู้ทำอยู่เหมือนเงาตามตัว แต่มองไม่เห็นแต่บางทีเมื่อกรรมจะให้ผลกรรมนั้นมาประกฎในความฝันก่อนก็มี ที่ท่านเรียกว่า กรรมนิมิต เป็นหนึ่งในสาเหตุแห่งความฝัน 4 ประการ คนที่จะตายด้วยอุปัทวเหตุมักฝันอะไรบางอย่างที่ทำให้เจ้าตัวไม่สบายใจหรือมีความสังหรณ์ใจแปลก ๆ นั่นแสดงถึงอิทธิพลแห่งกรรมซึ่งเตือนบุคคลผู้นั้นล่วงหน้าก่อน ผู้มีจิตบริสุทธิ์บางคนสามารถรู้วันตายของตนล่วงหน้าเป็นเวลาหลาย ๆ วัน หลาย ๆ เดือน พระพุทธเจ้าเองก็ทรงกำหนดวันปรินิพพานของพระองค์ล้วงหน้าตั้ง 3 เดือน
                อนึ่ง ถ้าเราพิจารณาถึงธรรมชาติบางอย่างเช่น ต้นไม้มีผล อาทิ มะม่วง เมื่อมันยังไม่ออกผล ผลนั้นไปอยู่ที่ใด ? เมื่อมันออกผลคราวหนึ่งแล้ว ปีหน้ามันจะต้องออกอีกผลซึ่งจะออกในปีหน้าไปรออยู่ที่ใด ?
                เรื่องต้นมะม่วงกับผลมะม่วง ฉันใด เรื่องกรรมกับผู้ทำกรรมก็ฉันนั้น กรรมจะให้ผลก็ต่อเมื่อถึงคราวถึงสมัยเมื่อมันสุกงอมเต็มที่เท่านั้น กรรมดีหรือกรรมชั่วมิได้ให้ผลครั้งเดียวพ้นไป แต่จะส่งผลอยู่เสมอ ๆ จนกว่าจะหมดแรงของมันเหมือนมะม่วงให้ผลทุกปี จนกว่าต้นมันจะแก่ล้มตายไปในที่สุด
                อีกอย่างหนึ่ง คนที่ทำกรรมลงไปแล้ววิบากแห่งกรรมสั่งสมอยู่ในจิตใจของตน เมื่อสั่งสมมากเข้าถึงเวลาที่วิบากกรรมจะให้ผลเสียครั้งหนึ่งก่อน สมมติว่าเป็นกรรมชั่ววิบากของกรรมชั่วที่มีอยู่ในสันดาน จะเป็นสิ่งบันดาลโดยจูงใจให้บุคคลผู้นั้น พูด คิด หรือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอันจะนำไปสู่ผลดีนั้น ๆ วิบากแห่งกรรมจึงเป็นสิ่งมองไม่เห็นตัวที่น่กลัวที่สุด บางทีวิบากแห่งกรรมส่งความตายมาถึงบุคคลหนึ่งมาคุมไปจากในบ้านโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่เห็น พี่น้อง ลูกเมียก็ไม่เห็น แต่ทำให้เขารู้สึกร้อนใจอยู่ในบ้านไม่ได้ต้องออกไปนอกบ้านทั้ง ๆ ที่ไม่มีธุระจำเป็นแต่ประการใด อีก 10 นาทีต่อมาปรากฏว่าถูกรถชนตายเสียแล้ว หรือได้รับอันตรายใดอย่างหนึ่งอันสมควรแก่กรรม





การหยุดให้ผลของกรรม
กรรมจะหยุดให้ผลด้วยเหตุ 3 ประการ คือ
1.            1.      หมดแรง คือ ให้ผลจนสมควรแก่เหตุแล้วเหมือนคนได้รับโทษจำคุก 2 ปี เมื่อถึงกำหนดแล้วเขาย่อมพ้นจากโทษนั้นนอกจากในระหว่าง 2 ปี ที่ถูกจองจำอยู่เขาจะทำความผิดซ้ำซากเข้าอีก ถ้าในระหว่างถูกจองจำอยู่เขาทำความดีมากอาจให้ลดโทษลงเรื่อย ๆ การให้ผลของกรรมก็ทำนองเดียวกัน โดยปรกติธรรมดามันจะให้ผลจนหมดแรง นอกจากเวลาที่กำลังให้ผลอยู่นั้นบุคคลผู้นั้นทำชั่วเพิ่มขึ้น มันก็จะให้ผลรุนแรงมากขึ้น ถ้าเขาทำความดีมากขึ้นผลชั่วก็จะเพลาลง ในขณะที่กรรมดีกำลังให้ผลถ้าเขาทำดีเพิ่มขึ้นผลดีก็จะมีกำลังมากขึ้น ถ้าเขาทำกรรมชั่วในขณะนั้นผลของกรรมดีก็จะเพลาลง
2.            2.      กรรมจะหยุดให้ผล เมื่อกรรมอื่นเข้ามาแทรกแซงเป็นครั้งคราว คือกรรมดีจะหยุดให้ผลชั่วคราวเมื่อบุคคลทำกรรมชั่วแรง ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้กรรมชั่วอันมีกำลังเชี่ยวกรากนั้นให้ผลก่อน ถ้าขณะที่กรรมชั่วกำลังให้ผลอยู่มันจะหยุดให้ผลชั่วคราว เมื่อบุคคลผู้นั้นทำกรรมดีแรง ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ผลกรรมดีให้ก่อน นี่หมายเฉพาะที่จำเป็นและเร่งด่วนเท่านั้น โดยปกติเมื่อกรรมอย่างหนึ่งให้ผลอยู่ กรรมอื่น ๆ ก็จะรอคอยเปรียบเหมือน เมื่อพระราชามีพระราชภารกิจบางอย่างอยู่หากมีราชกิจอย่างใดอย่างหนึ่งอันไม่รีบด่วนนัก ราชบุรุษหรืออำมาตย์มนตรีย่อมพักราชกิจนั้นไว้ก่อนจะนำความกราบบังคมทูลต่อเมื่อราชกิจที่ทรงอยู่ (เช่นทรงต้อนรับแขกเมืองอยู่) เสร็จไปแล้ว ถ้าหากเป็นราชกิจรีบด่วนจริง ๆ เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ก็สามารถนำความกราบบังคมทูลได้ทันที การรับสั่งด้วยแขกเมืองก็ต้องหยุดไว้ก่อน
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นการยากที่จะเข้าใจหรือเห็นกรรมและผลของกรรมโดยตลอดในช่วงชีวิตเดียวฉะนั้น เรื่องกรรมและสังสารวัฏจึงมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เข้าใจเรื่องกรรมโดยตลอดต้องพูดกันเรื่องสังสารวัฏ เมื่อมีสังสารวัฏคือการเวียนว่ายตายเกิดก็ต้องสาวไปหา กรรมดีกรรมชั่วในอดีต จึงจะสมบูรณ์
3. บุคคลผู้ทำกรรมได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์  ตัดวัฏฏะ คือ การเวียนว่ายตายเกิดเสียได้ มีชีวิตอยู่เป็นชาติสุดท้ายไม่เกิดในภพใหม่อีก กรรมย่อมหมดโอกาสให้ผลอีกต่อไปวิญญาณของท่านผู้นั้นบริสุทธิ์หมดเชื้อ เหมือนเมล็ดพืชที่สิ้นยางเหนียวแล้ว ปลูกไม่ขึ้นอีกต่อไปกรรมของพระองคุลิมาลเป็นอาทิ เมื่อท่านนิพพานแล้วกรรมต่าง ๆ ทั่งดีและชั่ว ไม่ว่ารุนแรงเพียงใดก็หมดโอกาสให้ผลเปรียบเหมือนบุคคลวิ่งหนีสุนัข สามารถว่ายน้ำข้ามไปฝั่งโน้นได้ แล้วเหลือวิสัยของสุนัขที่จะไล่ตามไปได้ เมื่อบุคคลผู้นั้นไม่กลับมาสู่ฝั่งนี้อีก สุนัขซึ่งเฝ้าคอยก็จะตายไปเอง
อนึ่งความไม่ควรแก่การเกิดอีกของบุคคลผู้มีคุณธรรมสูงสุด เพราะได้พัฒนาจิตอย่างดีที่สุดแล้วนั้นเปรียบเหมือนเมล็ดพืช  ซึ่งได้พัฒนาตัวมันเองอย่างดีที่สุดแล้ว เมล็ดลีบ เนื้อมาก เมล็ดพืชเช่นนั้นนำไปปลูกไม่ขึ้นอีกไม่ว่าได้ดินได้น้ำดีเพียงใด เป็นการสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิดของเมล็ดพืชเช่นนั้น


กรรมมีผลเนื่องถึงผู้อื่น
ปัญหาอีกประการหนึ่งที่น่าพิจารณา คือ ความดี ความบริสุทธิ์ ไม่บริสุทธิ์ มีเฉพาะตนหรือคนอื่นอาจทำให้เราบริสุทธิ์หรือเศร้าหมองได้
ถ้าความดี ความชั่ว ใครทำ ใครได้ ความบริสุทธิ์ ไม่บริสุทธิ์เป็นเรื่องเฉพาะตนคนอื่นให้บริสุทธิ์ไม่ได้แล้ว ไฉนเล่าเมื่อมารดาบิดาเป็นคนดี ลูกหลานจึงได้รับเกียรติได้รับความยกย่องนับถือด้วย เมื่อมารดาบิดาไม่ดี ตระกูลไม่ดี เหตุไรบุตรธิดาและคนในตระกูลจึงต้องได้รับอัปยศด้วยหรือเมื่อมารดาบิดามั่งมีหรือยากจน บุตรธิดาจึงพลอยมั่งมีหรือยากจนไปด้วย ความไม่บริสุทธิ์อาจป้ายสีกันได้ ความบริสุทธิ์ อาจประกาศยกให้กันได้
ถ้าเป็นดังที่ว่านี้ ก็น่าจะขัดแย้งกับพระพุทธภาษิตที่ว่า สุทธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย = ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน คนอื่นจะทำคนอื่นให้บริสุทธิ์ไม่ได้  ขออธิบายข้อความนี้ดังต่อไปนี้
ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน ใครอื่นจะทำอีกคนหนึ่งให้บริสุทธิ์ไม่ได้นั้นหมายความว่าบุคคลทำชั่วเองย่อมเศร้าหมองเอง ทำดีเองย่อมผ่องแผ้วเอง ทรงหมายถึงความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ชั้นใน ภายในความรู้สึกสำนึกของตน ไม่ใช่ความบริสุทธิ์ที่คนอื่นถือว่าบริสุทธิ์หรือความเศร้าหมองท่คนอื่นเขาป้ายสีให้ สมมติว่าคนผู้หนึ่งฆ่าคนตาย แม้จะไม่มีใครรู้เห็นเขาผู้นี้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ในข้อนี้ ส่วนอีกคนหนึ่งไม่ได้ฆ่าใครแต่หลักฐานภายนอกผูกมัดเพราะถูกใส่ความ เขาต้องได้รับโทษทางกฎหมาย เช่น ถูกจำคุกหรือถูกปรับ คนทั้งหลายเห็นว่าเขาเป็นอาชญากรหรือฆาตกร แต่ในความเป็นจริงเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ ความเป็นจริงกับปรากฏการณ์ภายนอก มิใช่จะตรงกันเสมอไปในกรณีดังกล่าวจะเห็นว่าความบริสุทธิ์หรืไม่บริสุทธิ์เป็นเรื่องเฉพาะตนจริง คนอื่นจะทำคนอื่นให้บริสุทธิ์หรือเศร้าหมองหาได้ไม่ พระพุทธเจ้าเองก็เคยถูกใส่ความเรื่องนางสุนทรีและนางจิญจมาณวิกาคนเชื่อไปก็มาก แต่ความบริสุทธิ์ยังเป็นของพระองค์อยู่ตลอดเวลา
ส่วนความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ในสายตาของคนทั้งหลายอื่นและในสายตาของศาลนั้นไม่แน่เสมอไป คนผิดแท้ ๆ อาจกลายเป็นคนไม่บริสุทธิ์ได้ ถ้าหลักฐานที่ผู้อื่นสร้างขึ้นมีมากพอที่จะปรักปรำให้เขาต้องเป็นคนผิดในสายตาของศาล เพราะศาลย่อมพิจารณาคดีตามหลักฐานพยานทั้งฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยแล้วลงความเห็นไปตามหลักฐานนั้น
คราวนี้เรื่องความดี ความชั่วหรือบุญบาปที่บุคคลหนึ่งทำแล้วผลมาเกี่ยวเนื่องถึงอีกบุคคลหนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้เพราะชีวิตของคนเหล่านั้นเกี่ยวเนื่องถึงกัน อย่างที่โบราณว่า ปลาข้องเดียวกัน มักต้องเน่าเหม็นด้วยกันหรือ ของหอมมักทำให้เครื่องรองรับพลอยมอมไปด้วย

เพื่อความแจ่มใสแจ้งในเรื่องนี้ เราควรพิจารณากรรมต่าง ๆ ดังนี้
1.             1.       กรรมส่วนบุคคล
2.             2.       กรรมของครอบครัว
3.             3.       กรรมของหมู่คณะหรือสังคม
4.             4.       กรรมของประเทศชาติ
5.             5.       กรรมของโลก
กรรมส่วนบุคคลนั้น ใครทำคนนั้นได้รับเพียงคนเดียว คือ เขาทำประโยชน์ส่วนตนของเขา เช่น การศึกษาหาความรู้ใครทำคนนั้นก็ได้รับเฉพาะตน เขาศึกษาเล่าเรียนเพียงคนเดียวจะให้ญาติพี่น้อง พ่อแม่ผู้
หลักสำคัญของกรรม เมื่อกล่าวโดยหลักใหญ่ กรรมมี 4 อย่าง คือ
1.             1.       กรรมดำ มีวิบากดำ
2.             2.       กรรมขาว มีวิบากขาว
3.             3.       กรรมทั้งดำทั้งขาว มีวิบากทั้งดำทั้งขาว
4.             4.       กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ทำดำไม่ขาวและเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม

มาตรฐานแห่งความดีความชั่ว
อะไรคือความดี ? อะไรคือความชั่ว ? เป็นปัญหาทางจริยศาสตร์ซึ่งนักปราชญ์ทางนี้ได้ถกเถียงกันเป็นอันมาก และตกลงกันไม่ค่อยได้เพราะมีขอบเขตกว้างขวางมาก อะไรคือคุณธรรม ? ก็เป็นปัญหาที่ตอบยากเช่นเดียวกัน นักปราชญ์ที่ทั้งหลาย แม้เป็นศาสดาผู้ตั้งศาสนาที่มีคนนับถือทั่วโลกก็ยังบัญญัติคุณธรรมไว้ไม่ตรงกัน ยิ่งหย่อนกว้างแคบกว่ากัน
ความชั่วกับความผิด เป็นอันเดียวกันหรือไม่ ความดีกับความถูกต้อง เป็นอย่างเดียวกันหรือไม่ หรือต่างกันหมายความว่าความถูกต้องอาจไม่เป็นความดีเสมอไปหรืออย่างไร ? นี่ก็เป็นปัญหาทางจริยศาสตร์เช่นเดียวกัน
คนส่วนมากมักถือเอาความสุข ความสมปรารถนาในชีวิตปัจจุบันเป็นมาตรฐานวัดความดี คือ ความดีต้องมีผลออกมาเป็นความสุข ความสมปรารถนา เป็นลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ส่วนความชั่วต้องมีผลตรงกันข้ามแต่ในความเป็นจริงแล้วไม่แน่เสมอไป ดังได้กล่าวแล้วในตอนที่ว่าด้วย ผลภายในผลภายนอก ที่ว่าหมายถึงผลของกรรมนั้นโดยตรง
ในแง่ของพระพุทธเจ้า ทรงให้แนวคิดไว้ว่า กรรมใดทำแล้วไม่เดือดร้อนภายหลังกรรมนั้นดี บุคคลทำกรรมใดแล้วเดือดร้อนในภายหลังกรรมนั้นไม่ดี
ตามแง่นี้เราจะมองเห็นความจริงอย่างหนึ่งว่าคนทำชั่วบางคนได้รับความสุขเพราะการทำชั่วนั้น ในเบื้องต้นถ้าเขาเพลิดเพลินในการทำชั่วต่อไป ไม่รีบเลิกเสียเขาจะต้องได้รับความทุกข์ในตอนปลาย ส่วนคนทำความดีบางคนได้รับความทุกข์ในเบื้องต้น แต่ถ้าเขามั่นอยู่ในความดีนั้นต่อไปไม่ยอมเลิกทำความดี เขาย่อมต้องได้รับความสุขในเบื้องปลายตรงกับข้อความที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
เมื่อกรรมชั่วยังไม่ให้ผล คนชั่วอาจเห็นกรรมชั่วเป็นกรรมดี แต่เมื่อกรรมชั่วให้ผลเขาย่อมเห็นกรรมชั่วว่าเป็นกรรมชั่ว ส่วนคนดีอาจเห็นกรรมดีเป็นกรรมชั่ว เมื่อกรรมดียังไม่ให้ผลแต่เมื่อใดกรรมดีให้ผลเมื่อนั้นเขาย่อมเห็นกรรมดีเป็นกรรมดี
โดยนัยดังกล่าวนี้ ถ้ามองกรรมและผลของกรรมในสายสั้น อาจทำความไขว้เขวบ้างในบางเรื่อง แต่ถ้ามองในสายยาว จะเห็นถูกต้องทุกเรื่องไป ความเป็นไปในชีวิตคนเป็นปฏิกิริยาแห่งกรรมของเขาทั้งสิ้น ถ้ามองในสายสั้นก็จะยังไม่เห็นแต่ถ้าเรามองเหตุผลสายยาวก็จะเห็น ทฤษฎีเรื่องการเกิดใหม่ (อันเป็นเหตุผลของกรรมในสายยาว) จึงต้องควบคู่กันไปกับเรื่องกฎแห่งกรรมแยกจากกันไม่ได้ เพราะถ้าแยกจากกันเมื่อไรบุคคลก็จะมองเห็นเหตุผลในเรื่องกรรมเพียงสายสั้นเท่านั้น สมมติว่าวันหนึ่งเป็นชาติหนึ่ง เหตุการณ์ในวันนี้อาจเกี่ยวโยงไปถึงเหตุการณ์เมื่อพันชาติมาแล้วอาจมาเกียวโยงกับเหตุการณ์ในชาตินี้อาจเกี่ยวโดยมาถึงเหตุการณ์ในวันนี้ ในทำนองเดียวกันเหตุการณ์เมื่อพันชาติมาแล้วอาจมาเกี่ยวโยงกับเหตุการณืในชาตินี้คนสามัญอาจงง แต่ท่านผู้ได้ปพเพนิวาสานุสติญาณเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนกับเรารู้ว่าเมื่อ 20 ปีก่อนเราเรียนหนังสือมาอย่างเราจึงมามีความรู้อยู่อย่างวันนี้
ในเหตุผลสายสั้นคนขโมยเงินย่อมได้เงิน เงินมันไม่ได้ทักท้วงใครว่าถูกหรือผิด ดีหรือชั่วถ้ามองกันเพียงวันเดียวอาจเห็นการขโมยเป็นการดี เพราะได้เงินมาจับจ่ายใช้สอยหาความสุขสำราญได้ แต่ผลที่ตามมาอีกชั้นหนึ่งคือความเดือดร้อนใจของผู้ขโมยนั่นเองซึ่งจะต้องมีอยู่อย่างแน่น ๆ ไม่ต้องสงสัย และถ้าเจ้าทรัพย์หรือตำรวจจับได้ เขาต้องได้รับโทษตามกฎหมายอาจติดคุกหรือถูกประหารชีวิต บางทีในขณะที่เขาได้รับโทษนั้น เขากำลังประกอบกรรมดีบางอย่างอยู่ ระยะเวลาห่างจากวันที่เขาขโมยถึง 200-300 วัน หรือ 2-3 ปีก็ได้ 9-10 ปีก็ได้ นี่คือตัวอย่างที่พอมองเห็นกันได้
อนึ่ง ความเกี่ยวข้องระหว่างบุคคลในทางดีหรือไม่ดี ทางเกื้อหนุนหรือเบียดเบียน ตัวเขาเองนั่นแหละเป็นคนรู้เพราะความเกี่ยวข้องเหล่านั้นถูกเก็บรบรวมไว้ในวิญญาณอันท่านเที่ยวไปในสังสารวัตราบเท่าที่กิเลสยังมีอยู่ เมื่อเจอกันเข้าในชาติใดชาติหนึ่ง ความรู้สึกของวิญญาณย่อมบอกให้เรารู้ว่าเคยเป็นมิตร เป็นศัตรูกันมาอย่างไร
มาตรฐานเครื่องตัดสินกรรมดีกรรมชั่วอีกอย่างหนึ่งตามแง่ของพระพุทธเจ้า กรรมใดทำแล้วทำให้กิเลสพอกพูนขึ้นกรรมนั้นเป็นกรรมชั่ว ส่วนกรรมใดทำแล้วเป็นไปเพื่อความขัดเกลากิเลสทำให้กิเลสเบาบางลงกรรมนั้นดี กล่าวให้ชัดอีกหน่อยหนึ่งว่า ทำอย่างใด พูดอย่างใดและคิดอย่างใด ทำให้โลภ โกรธ หลง เพิ่มพูนขึ้นในสันดานหรือในจิต อันนั้นเป็นกรรมชั่ว ส่วนกรรมดีก็ตรงกันข้าม
มาตรฐานนี้ค่อนข้างสูงหน่อย พ้นจากสำนึกของคนสามัญ กล่าวคือ คนทั่วไปไม่ค่อยนึกถึงในแง่นี้เมื่อเอาลักษณะตัดสินธรรมวินัย 8 ประการ มาพิจารณาก็จะยิ่งเห็นชัดขึ้นว่ามาตรฐานแห่งความดีของพระพุทธองค์นั้นอยู่ที่การลดโลถ โกรธ หลง ยิ่งลดได้มากเท่าใด ยิ่งดีมากเท่านั้นลดได้หมาดเกลี้ยงก็ดีถึงที่สุด
ทรงแสดงลักษณะตัดสินธรรมวินัย 8 ประการ แต่พระนางหาปชาบดี ภิกษุนีไว้ดังนี้
ธรรมใดเป็นไปเพื่อ
1.             1.       ความกำหนัด (สราคะ)
2.             2.       การประกอบตนอยู่ในทุกข์ (สังโยคะ)
3.             3.       สะสมกิเลส (อาจยะ)
4.             4.       ความมักใหญ่ อยากใหญ่ (มหิจฉตา)
5.             5.       ความไม่สันโดษ (อสันตุฎฐิตา)
6.             6.       ความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ (สังคณิกา)
7.             7.       ความเกียจคร้าน (สัชชะ)
8.             8.       ความเลี้ยงยาก (ทุพภรตา)
ทั้ง 8 พวกนี้ พงทราบเถิดว่า ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัย ไม่คำสอนของพระศาสดาส่วยธรรมใดเป็นไปเพื่อ
1.             1.       ความคลายกำหนัด (วิราคะ)
2.             2.       การไม่ประกอบตนไว้ในกองกิเลส (วิสังโยคะ)
3.             3.       การไม่สะสมกองกิเลส (อปจยะ)
4.             4.       ความปรารถนาน้อย (อัปปิจฉตา)
5.             5.       ความสันโดษ (สันตุฏฐิตา)
6.             6.       การไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ (อสังคณิกา)
7.             7.       ความไม่เกียจคร้าน คือ ความเพียรติดต่อสม่ำเสมอ (วิริยารัมภะ)
8.             8.       ความเลี้ยงง่าย (สุภรตา)
กรรมทำให้คนแตกต่างกัน
ตามที่กล่าวมาพอจะทำให้มองเห็นได้บ้างแล้วว่าที่บุคคลต่างกันก็เพราะแต่ละคนมีความปรารถนา มีการสั่งสมกรรมไม่เหมือนกัน ทีแกเขากระทำกรรมลงก่อนต่อมาภายหลังกรรมนั่นเองได้ยอกย้อนมาจำแนกเขาผู้ทำให้เป็นต่าง ๆ ตามชนิดแห่งกรรมที่บุคคลนั้น ๆ ได้ทำลงไปดังที่พระบรมศาสดาตรัสไว้ว่า
                ดูก่อนมานพ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของ ๆ ตนผู้เป็นต้องรับมรดกแห่งกรรม มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ พวกพ้อง มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมนั่นเองย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลายในเลวบ้าง ให้ดีบ้าง สมฺมสฺ มาณว สตฺตา กมฺมทายาทา กมฺมโยนี กมฺมพนฺธู กมฺมปฏิสรณา กมฺมํ สตฺเต วภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตตาย
                ที่ว่ามีกรรมเป็นของตนนั้น คือ เป็นเจ้าของแห่งกรรมของอย่างอื่น เช่น เงินทอง ทรัพย์สมบัติภายนอกเราเพียงอาศัยใช้ชั่วคราว เมื่อตายหาได้ตัดตัวไปได้ไม่ มีแต่กรรมดี กรรมชั่วเท่านั้นที่จะติดตามวิญญาณไปทุกแห่งทุกชาติ ไม่ว่าจะไปเกิดเป็นอะไร สมบัติของเราจริง ๆ คือกรมมดี กรรมชั่วที่เราทำหาใช่ทรัพย์สมบัติภายนอกไม่
                มรดกอย่างอื่น เช่น มรดกในทรัพย์สินที่คนอื่นเขาจะมอบให้ ก็เป็นของไม่แน่นอน แต่กรรมที่เราทำแล้ว จะมอบให้คนอื่นก็ไม่ได้ ตัวอย่างเช่น คนเป็นมะเร็งได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัสลูกเมีย พี่น้องได้แต่นั่งคอยดู จะแบ่งมาเป็นของจนบ้างก็ไม่ได้ คนทีมีญาติมาก ๆ และญาติรัก ถ้าแบ่งความเจ็บไปได้ เขาคงแบ่งกันไปคนละนิดคนละหน่อย คนป่วยคงหายแต่เพราะกรรมเป็นของ ๆ ตนและบุคคลต้องรับมรดกแห่งกรรม ใครทำกรรมอย่างใดไว้จึงต้องรับกรรมอย่างนั้นไป ลูกเมีย (ผัว) พ่อแม่ พี่น้องก็ไม่อาจแบ่งผลแห่งกรรมนั้นไปได้ แม้หมอก็ช่วยไม่ได้
                ข้อว่ามีกรรมเป็นแดนเกิดหรือเกิดมาเพราะกรรม (กมฺมโยนิ) นั้น อธิบายว่า คนเราเกิดมาเพราะยังมีกรรมอยู่ คือ ยังมีกิเลส มีกรรมและมีวิบาก คือ ผลของกรรม ผลของกรรมนั้นย่อมส่งวิญญาณให้เกิดในที่ต่าง ๆ ตามความเหมาะสมแก่กรรมวิญญาณย่อมปฏิสนธิในที่ ๆ เหมาะสมแก่กรรมของตน คนไม่มีกรรมแล้วเช่นพระอรหันต์ย่อมไม่เกิดอีก มารดาบิดาเป็นเพียงที่อาศัยเกิดของบุคคลผู้ยังมีกรรมอยู่ บางรายก็เคยเป็นบุตร
การเกิดใหม่
หรือการเวียนว่ายตายเกิด
               
                ได้กล่าวไว้แต่เบื้องต้นแล้วว่า    หลักกรรมกับสังสารวัฎหรือการเวียนว่ายตายเกิด                    มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด    หลักกรรมจะดำรงอยู่ไม่ได้       หรือถ้าได้ก็ไม่สมบูรณ์ถ้าไม่มีเรื่อง สังสารวัฎ  เพราะชีวิตเดียวสั้นเกินไปไม่พอพิสูจน์กรรมให้หมดสิ้นได้  มีปัญหาหลายอย่างที่น่าสงสัย   เช่นทำไม่คนดีบางคนจึงมีความเป็นอยู่อย่างตกต่ำลำบาก  สุขภาพอนามัยไม่สมบูรณ์ร่างกายอ่อนแอ  ส่วนคนที่ใคร ๆ เห็นว่าชั่วบางคน  กลับมีความเป็นอยู่อย่างสุขสำราญ  มีร่างกายแข็งแรง  เราไม่อาจคลายความสงสัยได้   ถ้าพิจารณาชีวิตกันเพียงชาติเดียว    หลักกรรมและการเกิดใหม่    จะบอกเราว่าคนที่เราเห็นว่าชั่วนั้น      เขาย่อมต้องเคยทำกรรมดีมาบ้างในอดีต         และคนที่เราเห็นว่าดีอยู่ในเวลานี้   ย่อมต้องเคยทำกรรมชั่วมาบ้างเหมือนกัน    กรรมดีย่อมให้ผลดี      กรรมชั่วย่อมให้ผลชั่วตามอิทธิพลของมัน   เที่ยงตรงที่สุดไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง
                อนึ่ง   หลักทางพระพุทธศาสนา  (ตามพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า)   มีอยู่ว่า  ตราบใดที่บุคคลคนยังมีกิเลสอยู่  เขาย่อมต้องทำกรรมดีบ้างชั่วบ้าง   กรรรมดีย่อมมีวิบาก (ผล)  ดี   กรรมชั่วมีวิบากชั่ว  วิบากดีก่อให้เกิดสุข  วิบากชั่วก่อให้เกิดทุกข์  สุข ทุกข์เหล่านั้นย่อมมีชาติ   คือความเกิดเป็นที่รองรับ  ปราศจากความเกิดเสียแล้วที่รองรับสุขทุกข์ย่อมไม่มี   กรรมก็เป็นหมันไม่มีผลอีกต่อไป
                พูดอย่างสั้นว่า   ตราบใด  ที่บุคคลใดยังมีกิเลสอยู่เขาย่อมเกิดอีกตราบนั้น  บุคคลที่ยังพอในอยู่ในกาม  คือยังไม่อิ่มในกาม  ยังมีความกระหายในกามใจยังแส่หากาม  ย่อมเกิดอีกในกามภพ  เพื่อเสพกามตามความปรารถนาของดวงจิตที่มีกามกิเลสห่อหุ้มพัวพันคลุกเคล้าอยู่
                บุคคลที่หน่ายกามแล้ว  เลิกละกามแล้วแต่จิตยังเอิบอิ่มอยู่ในฌานสมาบัติเบื้องต้น 4 ขั้นที่ท่านเรียกว่า  รูปฌาน  เขาย่อมเกิดอีกในรูปภพ  เพื่อเสพสุข  อันเกี่ยวกับณานในภพนั้น   ท่านผู้พอใจในความสุขอันประณีตกว่านั้นที่เรียกว่า  ความสุขในอรูปฌานย่อมเกิดอีกในอรูปภพ  ผู้เบื่อหน่ายต่อความสุขอันยังเจืออยู่ด้วยกิเลสดังกล่าวมาแล้วละกิเลสได้หมด  ไม่มีกิเลสเหลือก็เข้าถึงนิพพาน  ไม่ต้องเกิดอีกต่อไป  สิ้นสุดการเวียนว่ายตายเกิด  ไม่ต้องสุขบ้างทุกข์บ้างอีกต่อไป  เป็นผู้พ้นจากสภาพที่จะเรียกได้ว่าเป็นอะไร  เป็นอย่างไร  พ้นจากสุขทุกข์ทั้งปวง
                ภพ  คือที่ถือกำเนิดของสัตว์จึงมี 3 คือ กามภพ รูป  และอรูปภพ  พ้นจากนี้แล้วไม่เรียกภพ
                ในภวสูตร   พระอานนท์เข้าไปทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า  ภพมีได้เพราะเหตุใด?  พระผู้มีพระภาคตรัสถามย้อนว่า  ถ้ากรรมที่เกี่ยวกับกาม  จักไม่มีแล้ว  กามภพจักมีได้หรือไม่?  ถ้ากรรมที่เกี่ยวกับรูปธาตุ (รูปฌาน)  หรือเกี่ยวกับอรูปธาตุ (อรูปณาน)  จักไม่มีแล้ว  รูปภพอรูปภพจักมีหรือไม่?  พระอานนท์ทูลตอบว่ามีไม่ได้เลย
                พระพุทธองค์จึงตรัสว่า  เพราะเหตุนี้แหละอานนท์  (ในการเกิดใหม่นั้น)   กรรมจึงเป็นเสมือนเนื้อนา  วิญญาณเสมือนพืช  ตัณหาเป็นเสมือนยางเหนียวในพืช(กมฺมํ เขตฺตํ วิญฺญาณํ พีชํ ตณฺหา สิเนโห)
ดูก่อนอานนท์  ความตั้งใจ  ความจงใจ (เจตนา)  ความปรารถนาของสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องห่อหุ้ม  มีตัณหาเป็นเครื่องรึงรัดได้ตั้งลงแล้วในธาตุอันเลว (กามธาตุ)  ธาตุปานกลาง (รูปธาตุ)  และธาตุประณีต(อรูปธาตุ)  เมื่อเป้นดังนี้การเกิดในภพใหม่ก็มีขึ้นได้อีก
                ตามพระพุทธภาษิตนี้ชี้ชัดทีเดียวว่า  การเกิดใหม่ของสัตว์ย่อมต้องอาศัย  กรรม  กิเลส (ตัณหา)  และวิญญาณ  มีความสัมพันธ์กันเหมือน  เนื้อนา  หรือดิน  พืช  และยางเหนียวในพืชอันทำให้พืชมีคุณสมบัติในการเกิดใหม่ได้อีกเมื่อมีสภาวะแวดล้อมเหมาะสม
                พืชที่ถูกคั่วให้แห้ง  หรือเอาเหล็กแหลมเจาะทำลายเม็ดในเสียแล้ว  ย่อมไม่อาจเพาะ  หรือปลูกให้ขึ้นได้อีกไม่ว่าสภาวะแวดล้อมเช่นดิน  น้ำ ปุ๋ย  จะดีสักเพียงไรฉันใดวิญยาณที่ไม่มียางเหนียวคือตัณหา  หรือกิเลส  ห่อหุ้มผูกพันอยู่  ก็ย่อมไม่ต้องเกิดอีก  ไม่ควรเพื่อการเกิดใหม่ฉันนั้น
                ตามนัยนี้  แสดงว่าพระพุทธเจ้าทรงยืนยันเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดของวิญญาณที่ยังมีกิเลส  และกรรมที่ยังมีเจตนามีความปรารถนาในกามภพ  รูปภพ  และอรูปภพ  สัตว์จะไปเกิดในภพใดก็สุดแล้วแต่กิเลสและกรรมของเขาที่เกี่ยวกับภพนั้นเหมือนบุคคลฝึกฝนสิ่งใด  พอใจกระทำสิ่งใด  ย่อมได้รับผลของสิ่งนั้น

อะไรไปเกิด  มาเกิด?
                เมื่อยอมรับ  หรือสมมติว่า  เรายอมรับตามหลักพระพุทธศาสนาว่า  ตายแล้วเกิด  (เฉพาะผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่)  ปัญหาว่าอะไรไปเกิด  มาเกิด?  ตอบว่าวิญญาณที่ยังมีกิเลสนั่นแหละไปเกิดมาเกิด  ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฎตามอำนาจแห่งกิเลสและกรรมของตน ๆ
                จะไปเกิดในที่ใดอย่างไรก็สุดแล้วแต่แรงกรรมและความสูงต่อของวิญญาณ  วิญญาณย่อมรู้ที่ที่เหมาะสมแก่ตน
                ถามว่าจะเลือกที่เกิดได้หรือไม่?   ปัญหานี้ตอบว่า  เลือกได้บ้าง  เลือกไม่ได้บ้าง  วิญญาณชั้นต่ำเลือกเกิดไม่ได้  สุดแล้วแต่แรงกรรมอย่างเดียว  ส่วนวิญญาณชั้นสูง  มีบุญกุศลมาก  มีบารมีมาก  สามารถเลือกเกิดได้ตามเจตจำนงของตนเพราะไม่มีสิ่งใดบังคับ  เวลาจะเกิดยังต้องมีคนเชื้อเชิญให้มาเกิดเสียอีก  จะไม่มาก็ได้วิญญาณที่อยู่ในฐานะเช่นนั้นย่อมเลือกเกิดได้
                กรรมมีอาจพิเศษในการสำรวจอดีตของวิญญาณทุกดวงแล้ว  กำหมดหมายให้ใครไปเกิดที่ใดอย่างเหมาะสมที่สุดกับกรรมในอดีตของเขา  เพื่อให้เขาได้มีโอกาสเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ตามสมควร  ไม่มีสิ่งใดยุ่งยากสับสนเท่ากับสายใยแห่งชะตาชีวิตมนุษย์-มนุษย์จะเลือกที่เกิดได้ก็ต่อเมื่อวิญญาณของเขาได้รับการพัฒนาจวนจะสมบูรณ์อยู่แล้ว

จุดมุ่งหมายของการเกิดใหม่
                การเกิดใหม่เป็นกระบวนการธรรมชาติอย่างหนึ่งของชีวิต เพื่อวิญญาณจักได้มีประสบการณ์ด้านต่าง ๆ ก่อนจะออกจากโลก เข้าสู่โลกุตตรภาวะและไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในภพไหน ๆ อีกต่อไป
                โลกนี้เป็ฯเสมือนโรงเรียนใหญ่สำหรับวิญญาณจักได้ศึกษาหาประสบการณ์จนถึงที่สุด เมื่อเราได้เกิดซ้ำซากอยู่ชาติแล้วชาติเล่า ได้ผ่านความสุขบ้างทุกข์บ้างประสบความสำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง เป็นบทเรียนพอสมควรแล้ว เราก็จะไปใช้ชีวิตอยู่ในโลกทิพย์ชั่วระยะเวลาหนึ่งซึ่งมสภาวะต่าง ๆ แตกต่างจากโลกของเราเป็นอันมากวัญญาณของเราตื่นตัวมากขึ้น ความรู้สึกประทับใจในจริยธรรมมีมากขึ้น
                โรงเรียนโลกก็เหมือนกับโรงเรียนสามัญ คือ โรงเรียนสามัญนั้นนักเรียนจะต้องมาโรงเรียนวันแล้ววันเล่าเดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่าเพื่อเรียนวิชาซ้ำ ๆ กันนั้นเอง ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าจนกว่าจะจบหนักสูตรแล้วออกจากโรงเรียนไป เพื่อเรียนต่อในระดับที่สูงกว่า ถ้าเป้นผู้ที่เรียนจบชั้นสูงสุดแล้วก็ไม่ต้องเรียนอีกต่อไป โรงเรียนก็ทำนองเดียวกัน วัญญาณจะต้องมาสู่โลกนี้ชาติแล้วชาติเล่า เพื่อเรียนบทเรียนซ้ำ ๆ กันนั่นเอง เพื่อให้เกิดความชำนาญและรู้แจ้งในเหตุการณ์ต่าง ๆ ของชีวิตแล้วประมวลเป็นบทเรียนที่วิญญาณจะต้องเรียนรู้และทรงจำวิญญาณที่เรียนจบหลักสูตรสมบูรณ์แล้ว ก็ออกจากโลกไปไม่หวดกลับมาอีก ที่เรียกว่า โลกุตตระ
                ข้อแตกต่างระหว่างโรงเรียนสามัญกับโรงเรียนโลกก็คือ ในโรงเรียนสามัญ นักเรียนผู้ไม่สมัครใจเรียนอาจลาออกจากโรงเรียนไปในระหว่างได้ แต่โรงเรียนโลกจะไม่เป็นอย่างนั้น นักเรียนของโรง
เรียนโลก (คือคนทุกคน) จะออกจากโลกไปโดยยังไม่จบบทเรียนหาได้ไม่ ผู้ที่จะออกจากโลกไปเป็นโลกุตตรชนก็เฉพาะผู้ที่จบบทเรียนสมบูรณ์สูงสุดเท่านั้น
                ความทุกข์ยากลำบากเป็นบทเรียนอันสูงค่าของชีวิต ชีวิตยิ่งลำบากเท่าใด เรายิ่งได้เปรียบมากเท่านั้น ทั้งนี้หมายถึงเพื่อการศึกษาและความรอบรู้ของวิญญาณ คนส่วนมากมักตีคุณค่าของชีวิตด้วยลาภผลที่หาได้ เช่น ตำแหน่ง ยศ ความสนุกสนานสำราญใจ ความจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้มีคุณค่าแก่ชีวิตน้อย สิ่งที่มีคุณค่าแก่ชีวิตจริง ๆ คือพฤติกรรมอันทำให้เราสามารถพัฒนาจิตใจของเราให้สู่ระดับสูง ความทุกข์ยากและความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งทำให้เรารู้จักโลกและชีวิตดีขึ้น เพราะจุดปนะสงค์ใหย๋ของชีวิต ก็เพื่อพัฒนาอำนาจที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวของเราให้เจริญถึงขีดสุด ประสบการณืทุกชนิดไม่ว่าเล็กหรือใหญ่เป็นส่วนหนึ่งแห่งบทเรียนของเรา แต่น่าเสียดายที่ดนส่วนมากมักลืมข้อเท็จจริงอันนี้เสีย ไม่ยอมรับบทเรียนที่มหาวิทยาลัยโลกเสนอให้ จึงต้องเรียนซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกว่าบทเรียนนั้นจะแจ่มแจ้งขึ้นในใจของเขาเอง
                ระยะเวลาจากชาติหนึ่งไปถึงอีกชาติหนึ่ง กำหนดแน่นอนไม่ได้ ถ้าวิญญาณก้าวหน้ามาก มีคุณธรรมสูงมากจะอยู่ในโลกทิพย์ (สวรรค์) นานเป็ฯพัน ๆ หมื่น ๆ ปี เพื่อย่อยประสบการณ์ต่าง ๆ เข้าสู่อุปนิสัย แล้วมาเกิดในโลกมนุษย์อีก เพื่อหาโอกาสเรียนรู้บทเรียนที่ยังเหลืออยู่บางบท เขาสมัครใจมาเกิดเพื่อทำหน้าที่เป็นครูสอนมนุษย์หรือช่วยเหลือมนุษย์ในการพัฒนาจิตใจการตายแล้วเกิดเป็ฯกระบวนการที่สิ้นสุดได้ ถ้าเราสามารถพัฒนาวิญญาณให้สมบูรณ์จนไม่มีความชั่วหลงเหลืออยู่เลย
                ชีวิตเพียงชาติเดียวให่เพียงพอที่จะหาประสบการณ์ให้แก่วิญญาณได้ เรียกว่าเกือบจะไร้จุดมุ่งหมายเอาทีเดียวเหมือนนักเรียนมาโรงเรียนเพียงวันเดียว จะทันได้เรียนรู้อะไรเด็กที่เกิดมาในแหล่งสลัมในนครใหญ่ ๆ นั้นจะมีประโยชน์อะไรถ้าเขาเกิดมาเพียงชาติเดียว แต่เพราะเหตุที่ไม่มีอะไรสูญ ไม่มีอะไรถูกลืมไม่ว่าชีวิตจะสั้นเพียงใดมันย่อมมีบางสิ่งบางอย่างอันมีคุณค่าควรแก่การทรงจำของวิญญาณ หรือเป็นการใช้หนี้เก่าบางอย่างที่เคยทำมาใจชาติอดีต
                โชคชะตาของแต่ละคน จึงเป็นผลรวมแห่งการกระทำในอดีตของเขาเอง ความสามารถทางจิต สภาพทางกายอุปนิสัยทางศีลธรรม และเหตุการณ์ณ์สำคัญในชาติหนึ่ง ๆ ย่อมเป็นผลแห่งความปรารถนา ความคิดความตั้งใจของเราเองในอดีก โชคชะตามิใช่ใครจะหยิบยื่นให้ใครได้ แต่มันเป็ฯผลรวมแห่งการกระทำของเราเองในอดีตจนถึงปัจจุบัน ความต้องการในอดีตของเราเป้ฯสิ่งกำหนดโอกาสในปัจจุบันของเรา ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นลอย ๆ  สภาพปัจจุบันของเรา ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นลอย ๆ สภาพปัจจุบันของเราเป็นผลแห่งการกระทำความคิดและความต้องการของเราในอดีต ไม่เฉพาะแต่ในชาติก่อนเท่านั้น แต่หมายถึงในตอนต้น ๆ แห่งชีวิตปัจจุบันของเราด้วย
                เพราะเหตุที่การเกิดใหม่มีจุดมุ่งหมายนั่นเอง เราจะเห็นว่าในบางยุคมีนักปราชญ์มาเกิดมากมายเป็นหมู่ ๆ เหมือนนัดกันมเกิด ทั้งนี้เพื่อทำประโยชน์อย่งใดอย่างหนึ่งที่ท่านทำคั่งค้างไว้ให้เสร็จไป


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น